5 วิธีแนะนำชื้อแฟลชไดร์ฟ ที่ดีที่สุด

แฟลชไดร์ฟ (Flash Drive) คืออะไร ?

แฟลชไดร์ฟ (Flash Drive) คืออะไร ?

แฟลชไดร์ฟเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก มีหน้าที่สำหรับเก็บข้อมูลต่าง ๆ แม้ว่าปัจจุบันอาจเห็นได้น้อยลง เพราะผู้ใช้งานส่วนใหญ่หันไปใช้ Cloud กันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เราแนะนำว่าควรจะใช้ควบคู่กันไปมากกว่า เนื่องจากแม้ว่าการเก็บบน Cloud อาจจะสะดวกก็จริง แต่หากระบบหรือ Server ล่ม รวมไปถึงกรณีที่ผู้ให้บริการปิดตัวไป ข้อมูลของเราก็จะหายหรือใช้งานไม่ได้ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นงานหรือข้อมูลที่มีมูลค่าด้วยแล้ว ก็อาจจะสร้างความลำบากหรือความเสียหายได้นั่นเองครับ

การใช้แฟลชไดร์ฟไว้เป็นตัว Back Up ข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะตราบใดที่เราไม่ได้เอาแฟลชไดร์ฟไปใช้งานกับเครื่องที่ต่ออินเทอร์เน็ต ข้อมูลในนั้นก็จะปลอดภัย ป้องกันการถูกแฮ็กได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นอีกข้อดีหนึ่งของแฟลชไดร์ฟที่ Cloud Storage ไม่สามารถทำได้ครับ

วิธีการเลือกแฟลชไดร์ฟ

หลังจากที่รู้จักหน้าที่และการแนะนำสินค้าแฟลชไดร์ฟกันไปแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาที่คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเลือกซื้อแฟลชไดร์ฟมาใช้งานด้วยตนเอง ซึ่งก่อนที่คุณจะซื้ออุปกรณ์ชิ้นนี้ ควรที่จะพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้ร่วมด้วย

① เลือกความจุของแฟลชไดร์ฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ความจุเริ่มต้นของแฟลชไดร์ฟจะอยู่ที่ 32GB และที่ใหญ่ที่สุดที่หาซื้อได้ง่ายก็จะอยู่ที่ 256GB ซึ่งสำหรับการเลือกซื้อนั้นก็ให้ดูจุดประสงค์ในการใช้งานเป็นหลัก ถ้าคุณเก็บแค่หนังหรือเพลง ความจุระดับ 32 – 64GB ก็เพียงพอ แต่หากคุณต้องการใช้งานเยอะกว่านั้น ก็ควรจะเลือกรุ่นที่มีความจุอย่างน้อย 64GB ขึ้นไป

ทั้งนี้ ก็มีข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คือ อยากให้เลือกความจุเผื่อไว้ซักเล็กน้อย เผื่อกรณีฉุกเฉินต้องใช้พื้นที่มากขึ้น อย่างเช่นในระดับปกติเราอาจจะใช้พื้นที่ราว ๆ 30 – 40GB แต่อาจจะต้องใช้เพิ่มอีกซัก 20GB รวมกันเป็น 60GB ซึ่งแน่นอนว่า การใช้งานกับขนาด 64GB อาจจะไม่เพียงพอ เพราะเวลาซื้อมาใช้งานจริง ความจุ 64GB จะได้ขนาดไม่ถึง 64GB จากหลักการคำนวณทางคอมพิวเตอร์ที่ไม่ตรงกับวิธีการคำนวณหน่วยอื่น ๆ ที่เราคุ้นเคยกัน

ยกตัวอย่างเช่น 1 กิโลกรัม = 1000 กรัม แต่หากเป็นทางคอมพิวเตอร์ 1GB = 1024MB ดังนั้น 64GB จะถูกหารด้วย 1024 หลายครั้ง แทนที่จะถูกหารด้วย 1000 หลาย ๆ ครั้งแทน ตัวเลขความจุที่ได้ออกมาจึงจะได้ไม่ถึง 64GB แต่ประเด็นก็คือ ในกรณีฉุกเฉิน จะได้มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลให้ได้มากพอ และอาจจะเป็นการ Back Up ข้อมูลของเก่าไว้ด้วยก็ได้นั่นเองครับ

② เลือกแฟลชไดร์ฟที่ทำจากวัสดุที่มีความทนทาน

เลือกแฟลชไดร์ฟที่ทำจากวัสดุที่มีความทนทาน

หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่คนมองข้ามกันเยอะที่สุด แม้ว่าปัจจุบันการผลิตด้วยพลาสติกจะถูกพัฒนาไปมาก ทำให้มีสีสันที่สวยงามและมีความทนทานที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม โลหะก็ยังมีความทนทานมากกว่า ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ เราแนะนำให้เลือกแฟลชไดร์ฟที่เป็นโลหะเพื่อการใช้งานระยะยาว อีกทั้งยังป้องกันการแตกหักหรือการรับแรงกระแทกกรณีเราทำตกพื้นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

③ เลือกแฟลชไดร์ฟจากความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล

เลือกแฟลชไดร์ฟจากความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล

ความเร็วในการเขียนและอ่านค่อนข้างสำคัญในปัจจุบันมาก เพราะการที่มีความเร็วมากขึ้นก็ทำให้เราสามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ไวหรือใช้งานได้มีประสิทธิภาพสูงกว่า สมัยก่อน แฟลชไดร์ฟจะทำความเร็วได้อยู่ที่ราว ๆ 2 – 10 Mbps แต่ด้วยมาตรฐาน USB3.0 ขึ้นไป ทำให้ระดับความเร็วได้พัฒนาขึ้นมาอยู่ที่ 60MBps เป็นอย่างต่ำ อีกทั้งในหลาย ๆ รุ่นสามารถทำตัวเลขได้สูงเกิน 100Mbps เสียด้วยซ้ำ 

การที่มีระดับความเร็วที่สูงขึ้นนั้นจะช่วยให้เวลาที่คุณต้องโอนถ่ายข้อมูลทีละหลาย GB เสร็จได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งเวลาเลือกซื้อก็ควรจะดูตัวเลขที่ระบุไว้ด้วยว่าสามารถทำได้ที่ความเร็วเท่าไหร่ และข้อแนะนำพิเศษก็คือ ถ้าแฟลชไดร์ฟของคุณมีขนาดความจุที่ใหญ่มาก ก็ควรจะเลือกความเร็วที่ยิ่งสูงตาม เพื่อการโอนถ่ายงานด้วยความรวดเร็วครับ

④ เลือกพอร์ตการเชื่อมต่อของแฟลชไดร์ฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน

เลือกพอร์ตการเชื่อมต่อของแฟลชไดร์ฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน

พอร์ตการเชื่อมต่อเป็นสิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนยังไม่เข้าใจว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วแฟลชไดร์ฟก็จะมีหัวเสียบที่มีลักษณะเหมือนกัน แต่อันที่จริงแล้วแฟลชไดร์ฟในท้องตลาดจะแบ่งพอร์ตการเชื่อมต่อหลัก ๆ ได้เป็น 2 ประเภท คือ USB 2.0 และ 3.0 ซึ่งแต่ละประเภทก็จะส่งผลถึงความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลด้วย 

แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้หลาย ๆ อุปกรณ์ก็เน้นไปที่การเชื่อมต่อแบบ USB-C ที่มีศักยภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขีดจำกัดในการโอนถ่ายข้อมูลที่ทำได้รวดเร็วกว่า อีกทั้งยังสามารถจ่ายไฟหรือรับกระแสไฟได้ตัวเลขที่สูงกว่าประเภท USB-A อีกด้วย ดังนั้นควรจะเลือกประเภทของพอร์ตให้ตรงกับการใช้งานของเราให้ได้มากที่สุด เช่น หากใครต้องใช้กับอุปกรณ์ที่เป็นพอร์ต Lightning ของ Apple อย่างเช่น iPhone ก็ควรจะเลือกแฟลชไดร์ฟที่เป็นพอร์ต Lightning เพื่อให้ตรงกับอุปกรณ์ครับ

⑤ เลือกแฟลชไดร์ฟจากคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม

เลือกแฟลชไดร์ฟจากคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม

สำหรับคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมของแฟลชไดร์ฟที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่ ขนาดที่เล็ก พกพาง่าย ระบบความปลอดภัยที่ต้องใช้ Password ก่อนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลภายใน รวมไปถึงดีไซน์หรือลักษณะที่สวยงาม สะดุดตา หรือเป็นแฟชั่น นอกจากนี้ สำหรับใครที่ต้องใช้งานนอกสถานที่บ่อย ๆ การคำนึงถึงเรื่องของประสิทธิภาพในการกันน้ำก็น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ