“สมาร์ททีวี (Smart TV)“ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และการใช้งานของสื่อบันเทิงในโลกยุคดิจิทัลได้อย่างดีเยี่ยม เราจึงเห็นแบรนด์ทีวีมากมายในตลาด ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เช่น SUMSUNG, LG, SONY และ TCL ผลิตสมาร์ททีวีออกมาอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์เหล่านี้มีสมาร์ททีวีรุ่นใหม่ ๆ ออกมามากมาย จนหลายคนอาจสงสัยว่าควรเลือกซื้อสมาร์ททีวีรุ่นไหนดี ซึ่งสมาร์ททีวีนั้นมีขนาดตั้งแต่ 32 นิ้ว ไปจนถึง 75 นิ้ว เลยครับ
บทความนี้ เราจึงขอแนะนำวิธีการเลือกสมาร์ททีวีว่า ควรเลือกอย่างไรและมีเรื่องอะไรต้องพิจารณาบ้าง พร้อมคำแนะนำจากเกมเมอร์โดยเฉพาะ รวมไปถึงนำ 10 อันดับ สมาร์ททีวี รุ่นที่น่าสนใจด้วยหน้าจอ LED, OLED และ QLED ที่คมชัดระดับ 4K – 8K มาฝากกัน ถ้าอยากรู้ว่าควรเลือกสมาร์ททีวีอย่างไร และมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง ลองมาดูได้จากบทความนี้ครับ
วิธีการเลือกสมาร์ททีวี
หลังจากที่ได้รู้จักสมาร์ททีวีกันแล้ว ต่อไปเราก็มาดูวิธีการเลือกสมาร์ททีวีกันดีกว่าครับ การจะเลือกสมาร์ททีวีที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเราได้นั้นก็มีเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณากันไม่น้อย ซึ่งจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยครับ
① เลือกขนาดสมาร์ททีวีที่เหมาะสมกับการใช้งาน

การเลือกขนาดของสมาร์ททีวีนั้นมีหลายสิ่งที่เราควรพิจารณาควบคู่กันไป หลายคนอาจคิดว่าเลือกขนาดตามที่เราพึงพอใจก็เพียงพอ แต่แท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมคำนวณระยะห่างระหว่างสมาร์ททีวีและโซฟาด้วย เพราะระยะห่างที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับอรรถรสในการรับชมมากขึ้น ทั้งภาพที่มีสีสันสวยงามคมชัด ไม่เบลอ และไม่มีจุดพิกเซลแตก ๆ ให้กวนใจ โดยระยะห่างระหว่างสมาร์ททีวีและโซฟาที่เราแนะนำก็คือ
- สมาร์ททีวีขนาดต่ำกว่า 32 นิ้ว ระยะห่างไม่ควรเกินที่ 1.5 เมตร
- สมาร์ททีวีขนาด 32 – 39 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ประมาณ 1.5 – 2 เมตร
- สมาร์ททีวีขนาด 40 – 45 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ประมาณ 2 – 2.5 เมตร
- สมาร์ททีวีขนาด 46 – 55 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ประมาณ 2.5 – 3 เมตร
- สมาร์ททีวีขนาด 56 นิ้วขึ้นไป ระยะห่างควรมากกว่า 3 เมตร ขึ้นไป
ในปัจจุบัน Smart TV ได้ทำการแตกไลน์แยกย่อยออกมาทำให้ตอบสนองการใช้งานเฉพาะมากยิ่งขึ้น ก่อนเลือกซื้อจึงต้องทำการกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้งานให้ดีเพื่อที่จะได้ทีวีที่ตรงความต้องการในการใช้งานมากที่สุด เพราะในแต่ละแบบก็จะมีความต้องการเชิงสเปกที่แตกต่างกัน ทำให้ระดับราคาแตกต่างกันไปอีกด้วย เช่น ทีวีสำหรับการเล่นเกมในปัจจุบัน ต้องการ HDMI 2.1 เพื่อสามารถเล่นเกมได้ที่ 120 hz
ในขณะที่หากใช้ทีวีเน้นการชมกีฬา จะต้องใช้หน้าจอขนาดใหญ่ที่มีระบบชิปประมวลผลเพื่อทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูลื่นไหล นอกจากนี้ หากเลือกทีวีเพื่อใช้ในการนำเสนอเพิ่มเติม ความสามารถในการเชื่อมต่อที่หลากหลายและช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาครับ
② เลือกสมาร์ททีวีจากเทคโนโลยีจอภาพ

สมาร์ททีวีในแต่ละรุ่นนั้นมีเทคโนโลยีจอภาพที่แตกต่างกันไป ซึ่งเทคโนโลยีจอภาพแต่ละแบบก็จะมอบคุณภาพในการแสดงผลที่แตกต่างกันไป และถ้าหากเป็นจอภาพที่มีคุณภาพสูง ก็จะส่งผลไปถึงราคาของสมาร์ททีวีด้วยเช่นกัน ลองมาดูกันเลยค่ะว่า สมาร์ททีวีส่วนใหญ่นั้นมีเทคโนโลยีจอภาพแบบใดบ้าง
- LED (Light Emitting Diode) : จอภาพที่พัฒนามาจากจอ LCD มีแหล่งกำเนิดแสงจากหลอดไฟ LED Backlight และ Liquid Crystal 3 สีคือ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ผสมผสานออกมาเป็นสีสันที่แสดงบนหน้าจอทีวี ถึงแม้จอ LED จะมีความสว่าง สีสันสดใสคมชัด แต่เนื่องจากไม่สามารถเปิดปิดแสงได้เอง ทำให้บริเวณจอที่เป็นสีดำจะแสดงผลสีดำได้ไม่ดำสนิท
- OLED (Organic Light-Emitting Diode) : โดดเด่นในเรื่องความคมชัด โดยในหนึ่งพิกเซลมีเม็ดสีมากถึง 4 สี และยังมี Sub-Pixel สีขาวเพิ่มเข้ามาอีก อีกทั้งยังสามารถกำเนิดแสงได้เอง ไม่ต้องพึ่งพาแสงจาก Backlight และมี Contrast Ratio ที่ทำให้สามารถแสดงผลได้สีดำสนิท รับชมภาพได้ 180 องศา รวมถึงยังประมวลภาพเร็วและประหยัดพลังงานอีกด้วย แต่จะมีราคาค่อนข้างสูง
- QLED (Quantum-Dot Light-Emitting Diode) : เป็นเทคโนโลยีจอภาพใหม่ล่าสุด โดยใช้สารเรืองแสงขนาดเล็ก (Quantum Dot) ที่มีความละเอียดสูงระดับนาโน ผ่าน Backlight เป็นตัวกำเนิดแสง ให้สีสันและความสว่างที่เหนือชั้นกว่าจอประเภทอื่น สามารถแสดงสีได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง มุมมองภาพสามารถรับชมได้ 180 องศาครับ
เทคโนโลยีจอภาพ 2 ลักษณะที่กำลังมาแรงและแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในปัจจุบัน คือ จอภาพแบบ OLED และจอภาพแบบ LED ซึ่งจอภาพแบบ OELD จะให้คุณภาพที่คมชัดมากกว่า เนื่องมาจากตัวจอภาพจะสามารถ ให้ภาพสีดำที่ดำสนิทจนเกิดความรู้สึกคมชัด อีกทั้งคุณภาพของ High Dynamic Range ก็ดีมาก ๆ แต่อาจจะมีราคาค่างวดที่สูงกว่าแบบ LED ในปัจจุบันได้มีหลายแบรนด์ที่พัฒนาหน้าจอแบบ LED ให้เป็นแบบพรีเมียม ที่ให้คุณภาพของภาพได้ใกล้เคียงกับ OLED ครับ
③ ดูหนังได้เต็มอรรถรสขึ้น ด้วยสมาร์ททีวีที่มีระบบ Dolby Vision
สำหรับคอหนังที่มองหาสมาร์ททีวีสักเครื่องเพื่อใช้รับชมหนังหรือซีรีส์สุดโปรด รวมไปถึงการเล่นเกมกราฟิกระดับ Next-Gen เช่น PlayStation และ XBox เราขอแนะนำให้เลือกสมาร์ททีวีที่มาพร้อมกับระบบ Dolby Vision ซึ่งเป็นระบบ HDR ชนิดหนึ่ง ที่จะทำหน้าที่ในการปรับการแสดงผลสีสันและแสงของภาพที่รับชมให้มีความสมจริงเหมือนต้นฉบับ รวมไปถึงการปรับรายละเอียดแสงของคอนเทนต์ที่รับชมให้มีความสว่างและความมืดที่เหมาะสม แต่ในขณะเดียวกัน หนังหรือซีรีส์ที่คุณรับชมนั้นต้องรองรับระบบ Dolby Vision ด้วยนะครับ
หากคุณชอบดูหนัง การเลือกทีวีที่รองรับระบบ Dolby Vision เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันแอป Streaming ต่าง ๆ ก็มาพร้อมกับระบบ Dolby Vision เช่น Netflix, Apple TV, Amazon Prime และด้วยเทคโนโลยีนี้จะให้คุณภาพที่แตกต่างไปจากเทคโนโลยี HDR ปกติอย่างรู้สึกได้ โดยภาพจะมีความสบายตาและเป็นธรรมชาติกว่าครับ
④ เลือกสมาร์ททีวีที่มี MEMC เพื่อการรับชมที่ลื่นไหล
เทคโนโลยี MEMC (Motion Estimation, Motion Compensation) เป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่สำหรับวงการโทรทัศน์ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ชดเชยและแก้ไขเฟรมภาพให้กับไฟล์แหล่งกำเนิดภาพหรือคอนเทนต์ที่มีเฟรมต่ำ (เฟรม : จำนวนภาพต่อวินาที) เช่น การดูหนัง การดูกีฬา หรือวิดีโอที่มีความละเอียดต่ำ ให้สามารถแสดงผลได้อย่างลื่นไหลโดยที่ไม่มีอาการภาพเบลอหรือแตก ให้กับหน้าจอสมาร์ททีวีที่มีจำนวนเฟรมสูง โดยหลักการทำงานก็คือการใช้ระบบ AI ในการคำนวณและแทรกเฟรมส่วนที่ขาดไปเพื่อให้ในแต่ละฉากมีเฟรมที่สมบูรณ์ขึ้นนั่นเองครับ
หากคุณใช้ทีวีเพื่อการเล่นเกม การชมกีฬา หรือการรับชมภาพที่มีการเคลื่อนไหวมาก การเลือกทีวีที่มีเทคโนโลยี MEMC ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เนื่องจากทีวีที่มีเทคโนโลยีนี้จะมาพร้อมกับชิปประมวลผลเพื่อทำการลดค่าการกระตุกระหว่างเฟรมและทำการจำลองเฟรมระหว่างการเคลื่อนไหว ทำให้เมื่อเราดูด้วยตาเปล่า เราจะรู้สึกว่าภาพมีการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลมากกว่าทีวีที่ไม่มีฟีเจอร์นี้ ส่งผลให้ได้อรรถรสในการรับชมและรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากกว่าทีวีทั่วไปครับ
⑤ ตรวจสอบว่าสมาร์ททีวี Smart TV มีพอร์ตรองรับกับอุปกรณ์อื่น ๆ ในบ้านหรือไม่

ทีวีหลายรุ่นนิยมลดต้นทุนด้วยการลดจำนวนช่องสำหรับการเชื่อมต่อหรือพอร์ตลง เพื่อให้ทีวีมีราคาที่น่าสนใจ จนอาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าจำนวนพอร์ตนั้นไม่มีความจำเป็นกับทีวีมากนัก แต่แท้จริงแล้ว เพื่อความคุ้มค่าในการใช้งานเราควรให้ความสำคัญกับจำนวนและชนิดของพอร์ตอย่างมากค่ะ ไม่ว่าเป็นพอร์ต LAN สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, พอร์ตสำหรับลำโพง หูฟัง, รวมทั้งพอร์ต HDMI, Optical สำหรับเชื่อมต่อภาพและเสียง เป็นต้น
เราแนะนำให้คุณตรวจสอบความต้องการใช้งานของคุณให้ดี เช่น ถ้าหากต้องการเชื่อมต่อสมาร์ททีวีเข้ากับคอมพิวเตอร์ก็ควรมีพอร์ต HDMI นั่นเอง โดยนอกจากพอร์ตพื้นฐานที่เราได้กล่าวไปแล้ว สมาร์ททีวีส่วนมากยังมาพร้อมกับพอร์ต USB ที่ช่วยทำให้คุณเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อย่าง Flash Drive สำหรับดูเพื่อเรียกดูรูปภาพหรือข้อมูลที่คุณเก็บไว้ รวมถึงใช้เชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด และเมาส์เพื่อการใช้งานที่สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วยครับ
ก่อนทำการซื้อทีวี ให้ทำการลิสต์ว่าอุปกรณ์ในปัจจุบันของคุณที่ทำการต่อเชื่อมกับทีวีมีอุปกรณ์อะไรบ้าง เช่น เครื่องเล่นเกม, กล่อง Android TV, Apple TV หรือเครื่อง Blu-ray และในอนาคตคุณวางแผนจะซื้ออุปกรณ์ใดเพิ่มอีกหรือไม่ เพื่อความแน่ใจว่า Port HDMI หรือพอร์ตอื่น ๆ จะมีมากเพียงพอต่อการใช้งาน
นอกจากนี้ คุณอาจจะทำการตรวจสอบคุณสมบัติของแต่ละพอร์ต เช่น หากคุณซื้อ Playstation 5 หรือ Xbox Series X มาเล่น การที่ทีวีมาพร้อมกับ Port HDMI 2.1 ที่รองรับพร้อมการแสดงผลที่ 120 hz 4K ก็จะทำให้คุณได้ภาพในการเล่นเกมที่น่าประทับใจ เช่นเดียวกับระบบการเชื่อมต่ออื่น ๆ เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยสาย LAN การมีพอร์ตหูฟัง การเชื่อมต่อแบบ Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับ Sound Bar หรือหูฟังไร้สาย การเชื่อมต่อแบบ Optical เพื่อทำการเชื่อมลำโพงหรือแอมป์ ก็ควรตรวจสอบดูด้วยเช่นกันครับ
⑥ ขอแนะนำสมาร์ททีวี Smart TV ระบบ Android TV
หากคุณต้องการรับชมหรือใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนสมาร์ททีวี ต้องตรวจสอบด้วยว่าระบบของสมาร์ททีวีรุ่นนั้น ๆ รองรับการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติมหรือไม่ หรืออีกวิธีหนึ่ง สำหรับคนที่ไม่ต้องการตรวจสอบให้เสียเวลา เราขอแนะนำให้เลือกสมาร์ททีวีระบบ Android TV ไปเลยครับ เพราะด้วยระบบนี้ จะทำให้คุณสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนระบบแอนดรอยด์ได้เช่นเดียวกันกับสมาร์ตโฟน อาทิ Netflix, YouTube, Disney+ Hotstar, TrueID, Viu, iQiyi, Spotify และอีกมากมาย เพื่อให้คุณสามารถรับชมคอนเทนต์ได้หลากหลายขึ้นนั่นเอง
หากคุณใช้มือถือ Android อยู่แล้ว การเลือก Smart TV ที่มาพร้อมกับ Android TV ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเนื่องจากคุณสามารถใช้ทีวีในลักษณะมือถือ Android ได้ ทำให้แอปเพื่อความบันเทิงส่วนใหญ่ที่อยู่บนมือถือจะสามารถดาวน์โหลดมาใช้บนทีวีได้ อาทิเช่น HBO Go, Amazon Prime, Netflix, WeTV ฯลฯ
หากทีวีของคุณไม่รองรับ Android TV จะทำให้ใช้แอปเหล่านั้นไม่ได้และอาจจะต้องทำการดูผ่าน Web Browser ซึ่งอยู่ในตัวทีวีซึ่งอาจจะไม่สะดวกมากนัก หรืออาจต้องทำการซื้อ Chromecast มาเสียบเพิ่มแล้วเสียงบประมาณอีก ซึ่งจริง ๆ แล้ว หากคุณใช้ Android TV ตัว TV ของคุณก็จะมาพร้อมกับ Chromecast ทำให้คุณสามารถส่งภาพจากโทรศัพท์มือถือของคุณขึ้นไปที่หน้าจอทีวีได้ทันทีครับ